HostSearch.co.th >
Web Hosting Articles
หลักในการเลือกบริการ web hosting

ปัญหาโลกแตกอีกอย่างสำหรับคนที่อยากมีเว็บไซต์ หรือทำเว็บไซต์ ก็คือ จะเลือกใช้บริการ Web Hosting กับผู้ให้บริการไหนดี ต่างประเทศก็มี ในไทยก็เยอะ เพื่อนบอกที่นี่ดี คนนั้นบอกที่นั้นถูก ฯลฯ สรุปแล้วไม่รู้ว่าจะใช้บริการกับที่ไหนดี ดังนั้นหัวข้อนี้จึงขอบอกหลักในการเลือก Web Hosting แบบง่ายๆ ตรงประเด็น ดังนี้
- เลือกผู้ให้บริการที่ดูน่าเชื่อถือ ดูเบื้องต้นได้จากองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ ที่ผู้ให้บริการอ้างอิง (ดูได้ที่หน้าเว็บฯ) เช่น ผู้ให้บริการในไทยสังเกตุสัญลักษณ์ Registered ของ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (
www.dbd.go.th) เป็นต้น
- ใช้ผู้ให้บริการในไทยหรือต่างประเทศดี คิดง่ายๆ คือ กลุ่มเป้าหมายหลักที่จะเข้าชม-ใช้ เว็บไซต์เรา อยู่ที่ไหน เช่นเป็นเว็บไซต์ให้ข้อมูล หรือขายสินค้าสำหรับคนเยอรมัน ก็ควรหา Web Hosting ที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ในยุโรป หรือในเยอรมัน ยิ่งดี เพราะจะทำให้กลุ่มเป้าหมาย หรือลูกค้าของเรา เข้าเว็บไซต์เราได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าคนเข้าเว็บไซต์เราส่วนใหญ่เป็นคนไทย ก็ใช้บริการ Web Hosting กับผู้ให้บริการในไทย ที่มีเซิร์ฟเวอร์ในไทย อีกอย่างคือเราต้องเลือกว่าเมื่อบริการมีปัญหา เราอยากคุยกับชาวต่างชาติ (กรณีใช้บริการกับผู้ให้บริการต่างประเทศ) หรือคุยกับคนไทย
- ราคาถูก กับ ราคาแพง ค่าบริการ Web Hosting บางรายถูกมาก ก็มีได้หลายสาเหตุ เช่น ผู้ให้บริการต่างประเทศจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนที่ต่ำกว่า และมีการแข่งขันที่สูง, เป็น Reseller ซึ้อมาแบ่งขายต่อ, ให้บริการหลายเว็บไซต์ใน 1 เซิร์ฟเวอร์, ใช้อุปกรณ์ไม่มีคุณภาพ หรือซอฟร์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ ส่วนผู้ให้บริการบางรายราคาสูงกว่า สาเหตุก็มาจาก ต้นทุนในการดำเนินการ เช่น เครื่องเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง-อุปกรณ์อย่างดี ใช้ซอร์ฟแวร์ลิขสิทธิ์ถูกต้อง, เป็นบริษัท มีพนักงานสลับเปลี่ยนให้บริการ-ดูแลเซิร์ฟเวอร์ให้เรา, จำกัดจำนวนเว็บไซต์ต่อ 1 เซิร์ฟเวอร์, มีระบบ หรือบริการอื่นๆ เสริมให้เรา ที่เห็นได้ชัดคือ ติดต่อได้ตลอด 24 ชม. หรือการันตีว่าบริการจะไม่ล่ม ดังนั้นเรื่องนี้ต้องใช้คำว่า "คุณภาพตามราคา"
- เลือกระหว่าง Linux Hosting กับ Windows Hosting สำหรับผู้พัฒนาเว็บไซต์คงเลือกไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ไม่รู้ให้ดูง่ายๆ คือ ดูว่าเว็บไซต์เราพัฒนาด้วยภาษา (โปรแกรม) อะไร และใช้ฐานข้อมูลอะไร จากนั้นก็จำง่ายๆ ดังนี้ Windows Hosting รองรับทุกภาษา (โปรแกรม) และรองรับฐานข้อมูลทุกแบบ (ที่ใช้กันทั่วไป) แต่ก็จะมีราคาสูงกว่า Linux Hosting เล็กน้อย จากค่าลิขสิทธิ์ Windows server และฐานข้อมูล MS SQL server ส่วน Linux Hosting ไม่รองรับภาษา (โปรแกรม) และฐานข้อมูลที่พัฒนาโดย Microsoft คือ ภาษา ASP, .NET และฐานข้อมูล MS SQL server เป็นต้น แต่ก็จะมีราคาต่ำกว่า Windows Hosting เล็กน้อย
- ดูจากลูกค้าที่ใช้บริการกับผู้ให้บริการนั้นๆ หากมีลูกค้ารายใหญ่ๆ เช่นบริษัทฯ, องค์กรใหญ่ๆ หรือเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมสูง ก็ทำให้เรามั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่าผู้ให้บริการมีความน่าเชื่อถือ
- เรื่องการให้บริการก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นบริการก่อน หรือหลังการขาย โดยบริการก่อนการขายดูได้จากการให้ข้อมูลกับเราก่อนตัดสินใจซื้อ, การอำนวยความสะดวกกรณีเราต้องการใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ และความง่าย-สะดวกในการติดต่อทั้งทางอีเมลล์ หรือโทรศัพท์ (กรณีผู้ให้บริการในไทย) ส่วนหลังการขายอันนี้คงต้องดูหลังจากตกลงปลงใจใช้บริการแล้วว่า ยังคงให้บริการที่ดีอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถาม หรือการติดต่อสอบถามที่รวดเร็ว ที่สำคัญสุดคือเมื่อมีปัญหาสามารถแก้ปัญหาให้ได้ทันที หรือบอกถึงปัญหา และแนวทางแก้ไขให้เราได้ เพื่อให้เรารู้ว่าปัญหาของเราจะได้รับการแก้ไขเสร็จสิ้นเมื่อไหร่
- ข้อความโฆษณาที่เกินจริง หรือมีเงื่อนไขซ่อนเร้น ที่เห็นบ่อยน่าจะเป็น Unlimited Bandwidth, Unlimited Data Transfer หรือถ้าหนักกว่านั้นคือ Unlimited Disk space ถ้าเรามองถึงความเป็นไปได้ก็จะรู้ว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้ บางรายค่าบริการเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่บอกว่าให้ Unlimited Bandwidth, Unlimited Data Transfer ถ้าให้ได้อย่างที่ว่าจริง เว็บไซต์ใหญ่ๆ ดังๆ ทั้งหลายคงไม่ต้องสิ้นเปลืองไปเช่าเซิร์ฟเวอร์ หรือตั้งเซิร์ฟเวอร์เอง เดือนละหลายหมื่น (หรืออาจเป็นแสน) แล้วหันมาใช้บริการกับผู้ให้บริการเหล่านี้ดีกว่า ดังนั้นหากเจอข้อความโฆษณา หรือเห็นอยู่ในแพ็กเกจบริการ ให้คิดไว้ก่อนเป็นไปไม่ได้ จากนั้นให้หาดูที่เงื่อนไขการให้บริการ (ซึ่งแน่นอน ตัวเล็กๆ หายากหน่อย) จะเห็นได้ว่ามีการชี้แจงเกี่ยวกับคำว่า Unlimited ไว้ ก็อ่านและยืดตามเงื่อนไข และข้อตกลงนั้น ฉะนั้นเลือกบริการเท่าที่เราใช้งาน หรือเหมาะกับเว็บไซต์ของเรา ไม่อย่างนั้นอาจเจอกับอัตราค่าปรับที่ใช้เกินมากกว่าค่าบริการจริงก็ได้
ทั้งหมดก็เป็นหลักง่ายๆ ในการเลือก ที่เหลือก็คงเป็นส่วนของการคุยกับผู้ให้บริการก่อนซื้อ หรือได้ใช้งานจริง ถึงจะรู้ได้ว่าดีจริงหรือเปล่า